เมโสหน้าใส ออกฤทธิ์ไวตอบโจทย์ปัญหาผิวของสาว ๆ ได้เป็นอย่างดี

เมโสหน้าใส

เมโสหน้าใสคือทางลัดในการนำส่วนผสมที่มีอยู่ในครีมต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมนี้โดยเฉพาะตัวที่ดูดซึมจากการทาได้ยากจึงทำให้วิธีการฉีดเมโสหน้าใสนั้นเป็นที่นิยมมาก ๆ เพราะสามารถตอบโจทย์ปัญหาผิวของสาว ๆ ได้เป็นอย่างดี มาทำให้สามารถฉีดเข้าในชั้นผิวได้โดยตรง และออกฤทธิ์ไวขึ้นผิวจะต้องเนียนใส จึงมีการใช้วิตามินในการบำรุงผิวหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การใช้วิตามินแบบทาน และช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องสีผิวไม่สม่ำเสมอ ฝ้า กระ รอยสิว จุดด่างดำต่างๆ ฉีดสารจำพวกวิตามิน แร่ธาตุ แอนติออกซิเดนท์ คอลลาเจน และสารบำรุงผิวตัวอื่น ๆ เพื่อไปกระตุ้นเซลล์และฟื้นฟูผิวชั้นใน

เมโสหน้าใส มีรูปแบบการฉีด 2 แบบ ดังนี้

การฉีดเมโสหน้าใส จะเริ่มเห็นผล 3 วันหลังการฉีด และจะเห็นผลที่ชัดเจนในช่วงเวลา 7-14 วัน มีประสิทธิภาพอยู่ได้ประมาณ 1-2 เดือน โดยปกติเมโสหน้าใส จะฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้งของเดือนแรก และหลังจากนั้นจะฉีดทุก ๆ 2 สัปดาห์เพื่อคงสภาพ ซึ่งเมโสหน้าใส ไม่มีการฉีดแบบถาวร สามารถสลายหมดไม่มีสารตกค้าง

การฉีดเมโสหน้าใส แบบสะกิด

เป็นวิธีการใช้เข็มฉีดยาสะกิดผิวหน้าเป็นจุดเล็ก ๆ ทั่วบริเวณใบหน้า เพื่อให้วิตามินซึมซาบเข้าสู่ผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับชั้นผิว แต่ก็มีข้อเสียคือ อาจทำให้เกิดรอยแดงขึ้นบนใบหน้า และถ้าระหว่างฉีด ไม่ดูแลรักษาความสะอาดมากพอ อาจเกิดการอักเสบและติดเชื้อขึ้นได้

การฉีดเมโสหน้าใส แบบ 16 จุด

เป็นวิธีการใช้เข็มฉีดตามทิศทางการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลือง เพื่อให้วิตามินให้ซึมซับเข้าสู่ผิว ซึ่งวิธีการฉีดแบบนี้จะทำให้เกิดแผลได้น้อยกว่า เจ็บน้อยกว่า รอยช้ำลดลง ประสิทธิภาพของยาออกฤทธิ์ได้ยาวนานมากขึ้น โดยรวมแล้ววิธีนี้ดีกว่าการฉีดเมโสหน้าใสแบบสะกิด

เมโสหน้าใสแต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไรบ้าง?

แบ่งเมโสหน้าใสได้เป็น 3 กลุ่มดังนี้

  • เน้นหน้าขาว มีส่วนผสมของวิตามินต่างๆที่ทำให้หน้าขาวเช่น vitamin ABCE, Transamin, Glutatione
  • เน้นหน้าใส จะมีส่วนผสมของคอลลาเจน และ โคเอนไซม์ เป็นหลัก ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ให้ผิวฟูขึ้น กระชับรูขุมขน
  • เน้นลดสิว-แก้ผื่น จะช่วยลดการอักเสบ ขับสารพิษที่สะสมออก คอลลาเจนยังช่วยให้ต่อมไขมันทำงานลดลงช่วยลดสิว เมโสยี่ห้อที่มีจุดเด่นด้านนี้คือ มาเด้-คอลลาเจน

เนื่องจากผิวหน้าแต่ละคนมีลักษณะแตกต่างกัน การจะทราบว่าผิวหน้าของเรานั้น เหมาะกับเมโสตัวไหน เราควรให้หมอตรวจประเมินเพื่อปรับสูตรเมโสให้เหมาะกับสภาพผิวและความต้องการของแต่คน ทางเราจะให้แพทย์ตรวจประเมินผิวหน้าคนไข้ก่อนทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าคนไข้จะได้สูตรเมโสที่เหมาะกับสภาพผิวคนไข้มากที่สุด

หลังทำเมโสแล้วผื่นแดงขึ้น ต้องทำอย่างไร ?

ผื่นแดงเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

  1. เกิดจากการอักเสบติดเชื้อ มักจะไม่บวมแดงทันทีหลังทำทันที จะเริ่มบวมแดงมากขึ้นหลังจากวันที่ 3 หลังฉีด หากรีบรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อก็จะหายได้อย่างลอดภัย 100% และควรระวังเรื่องความสะอาดในการฉีดครั้งต่อ ๆ ไป
  2. เกิดจากการแพ้ ยาชาทา หรือตัวยาเมโส จะบวมแดงทันทีหลังทำ และเป็นทั่วทุกจุดที่ฉีด หรือ จุดที่ทายาชา ถ้าแพ้แบบไม่รุนแรง(ไม่อันตราย) จะหายเองใน 1คืนหลังฉีด หากบวมแดงนานเกิน 24 ชม ควรมาพบแพทย์เพื่อขอรับยากินเพิ่ม
  3. เกิดจากผื่นคนไข้กำเริบ หรือเป็นผื่นจากโรคอื่น ๆ ที่เกิดพร้อมกันพอดี ระยะเวลาการเกิดผื่นจะไม่แน่นอน ตำแหน่งที่เกิดผื่นจะไม่ตรงกับทุกจุดที่ฉีด ควรติดต่อแพทย์เพื่อให้วินิจฉัยเบื้องต้นและรักษาตามโรคนั้น ๆ ต่อไป
  4. ผื่นแดงจากรอยเข็ม รอยช้ำ จะออกสีม่วงเขียวตามจุดที่ฉีด อาจเกิดทันที หรือหลังฉีด 2-3 วันได้ แก้ไขด้วยการประคบเย็นภายใน 48 ชม.แรก หลังจากนั้นสามารถประคบอุ่นได้ตามคำแนะนำของแพทย์

ข้อควรระวังในการทำเมโสหน้าใส

มีเมโสหน้าใสหลายยี่ห้อที่ไม่ผ่าน อย. นั่นหมายความว่า จะไม่สามารถยืนยัน ที่มาและแหล่งผลิตได้ รวมถึง ไม่มั่นใจว่าตัวยาที่อยู่ในเมโสนั้น ๆ จะเกิดผลเสียในระยะยาวหรือไม่ เช่น ถ้ามีส่วนผสมของ สเตียรอยด์หรือฮอร์โมน ก็จะทำให้เห็นผลไว ผิวขาวเนียนนุ่ม แต่เมื่อฉีดไปนานๆ 1-2 ปี จะทำให้ชั้นผิวบางลง เกิดฝ้า ผิวไวต่อแดดและเกิดริ้วรอยก่อนวัย บางทีอาจจะถึงขั้นเกิดมะเร็งได้ ดังนั้น จึงแนะนำว่า ควรขอดูยี่ห้อยา ก่อนฉีดเมโสทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย

  • มี อย. หมายถึง เป็นยาที่ขึ้นทะเบียนถูกต้อง มีบริษัทที่นำเข้าชัดเจน การขนส่งยาถูกกรรมวิธี ยาไม่เสื่อมสภาพ และสามารถเช็คแหล่งผลิตได้ มีความปลอดภัย สามารถตรวจสอบกับ บริษัทที่นำเข้าได้ว่าคลินิกนั้นๆใช้ยาแท้หรือไม่
  • ถ้าไม่มี อย. ก็จะไม่มั่นใจว่า ใช่ยาแท้หรือไม่ เนื่องจากมีโรงงานจำนวนมากที่จีนนิยมทำสินค้าเลียนแบบ ประเภทเมโสหน้าใสต่าง ๆ นี้ออกมามาก เพราะแค่กล่องเล็ก ๆ ก็สามารถขายได้ราคาสูง โดยที่เทคโนโลยีการปลอมนั้น สามารถเลียนแบบแพคเกจได้เหมือน 100% แม้แต่หมอก็แยกไม่ออก หมอก็ต้องสั่งจากบริษัทที่นำเข้าที่ขึ้นทะเบียนกับ อย.เท่านั้น